หลงโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เอาล่ะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสำคัญทางพุทธศาสนาเป็นวันสำคัญของชาวพุทธ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วได้มาบวชเป็นพระ ได้บวชเป็นพระเป็นนักรบ ถ้าจะเป็นนักรบเห็นไหมนี่ เราจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ารบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม เราต้องมีสติ เราต้องค้นคว้าหาหัวใจของเราเจอ เราต้องยกใจของเราสู่วิปัสสนา มันถึงจะเป็นการนักรบไง ถ้าเป็นนักรบเห็นไหม วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา
ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนานะ ในทางโลกเห็นไหม มันมีความสำคัญไง ถ้าไม่มีความสำคัญ คนเรามันก็ไม่มีน้ำใจต่อกันไง ไม่มีการกระทำ สิ่งที่ให้เป็นคุณประโยชน์กับหัวใจของตนไง ถ้ามันมีความสำคัญเห็นไหม นี่มันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เขาก็ต้องจัดทำตามวัฒนธรรมของเขา ถ้าทางโลกเขาจัดตามวัฒนธรรมของเขานี่ เราเห็นแล้วเราสาธุนะ ทุกคนเห็นแล้วสาธุนะ ว่าชาวพุทธน่ะ เวลาวันสำคัญทางพุทธศาสนาน่ะ ไม่ลืมวันสำคัญทางพุทธศาสนาของตน นั่นน่ะเราควรจะยกย่องสรรเสริญเขา แต่นั่นมันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของโลกนะ โลกเขาทำกันเห็นไหม เขาทำกันมันก็ต้องมีความร่วมมือกับพระ ถ้าพระไม่ร่วมมือกับเขา งานนั้นก็จะไม่สำเร็จสมบูรณ์ไปได้ นั้นมันก็เป็นเรื่องของพระที่เขาทำตามประเพณีวัฒนธรรมกัน
เราเป็นนักรบๆ ไง ถ้าเราเป็นนักรบนะ เราจะต้องมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะวันสำคัญทางพุทธศาสนามันสำคัญจริงๆ ถ้าสำคัญจริงๆ เห็นไหม มันสำคัญในประเพณีวัฒนธรรม แต่ของเราน่ะเราต้องสำคัญในหัวใจของเรา ถ้าสำคัญในหัวใจของเรานะ เวลาพระกรรมฐานเราอยู่ในป่าในเขา วันพระวันโกนเขาก็ถือเนสัชชิกอยู่แล้ว วันพระวันโกนเขาภาวนาทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนานะ นี่มันยิ่งทำมากกว่านั้นไง
ถ้ามันทำมากกว่านั้น มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรความวิริยะอุตสาหะของเรานี่มันการกระทำของเรานี่มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรานะ เป็นประโยชน์กับเราเหมือนกับพ่อแม่สั่งสอนลูก ถ้าพ่อแม่สั่งสอนลูกนะ ถ้าลูกฉลาดพ่อแม่จะปลื้มใจมาก แล้วถ้าลูกๆ มันฉลาดขึ้นมาน่ะ ลูกทำงานเป็น ลูกรู้จักแยกแยะว่าผิดชอบชั่วดีได้ พ่อแม่จะมั่นใจว่าลูกคนนี้เขาจะดำรงชีพของเขาไปได้
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราบวชมาเป็นพระเห็นไหม เราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลส ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เรารู้จักคัดเลือก รู้จักคัดแยก ว่าสิ่งใดมันสมควรและไม่สมควร สิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ ถ้าเรื่องทางโลกๆ เราไม่ดูถูกเหยียดหยามน้ำใจใคร ในเมื่อเขาอยู่กับทางโลกเห็นไหม โลกเขายกย่องสรรเสริญกัน เราก็มีน้ำใจต่อเขา เราก็เห็นความสำคัญของเขา นั่นมันเป็นความสำคัญทางโลก เขามาทำบุญกุศลของเขา นั่นก็เป็นเจตนาดีของเขา นั่นก็เป็นบุญกุศลของเขา นั่นเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ
ถ้าเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น เรื่องโลกอย่างนั้น ทำไมพระกรรมฐานจะต้องหาที่สงัดที่วิเวก ถ้าหาที่สงัดที่วิเวกขึ้นมาเห็นไหม นี่ไม่คลุกคลีกัน นี่ต่างคนต่างจะเร่งความเพียรของกันและกันเห็นไหม ต่างเพียร ต่างคนต่างให้โอกาสต่อกัน การให้โอกาสต่อกันนี่สัปปายะ ๔ นี่หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะนะ มีความเห็นตรงกัน มีความเห็นว่าเราจะเป็นนักปฏิบัติด้วยกัน เราจะหาที่สงัดที่วิเวกต่อกันเห็นไหม นั่นน่ะ สัปปายะ ๔ มันเรื่องของโลก เราให้ความร่วมมือกับเขา เรามีน้ำใจต่อเขา เราชื่นชมน้ำใจเขา เราชื่นชมน้ำใจเขา ถ้าเขาทำแล้วมันเป็นสิ่งที่ประณีต สิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญ เราก็สรรเสริญเขา นั่นน่ะมันมาจากไหน มันมาจากน้ำใจของคนทั้งนั้น ประเพณีวัฒนธรรมมันก็มาจากความรู้สึกในหัวใจของคน
ถ้าประเพณีวัฒนธรรมที่มันละเอียดลึกซึ้ง แสดงว่าจิตใจของเขาละเอียดลึกซึ้งของเขา ถ้าละเอียดลึกซึ้งของเขาน่ะ เขาทำเพื่อบุญกุศลของเขา แต่คนทำซ้ำทำซาก เห็นไหม ปีนี้เราจัดงานได้อลังการมาก ปีต่อไปจัดอลังการยิ่งกว่า แต่ แต่มันจืดๆ น่ะ มันไม่ประทับใจเหมือนปีแรกๆ เลย นี่ไง โลกเป็นแบบนั้น โลกถ้าซ้ำซากๆ แล้วมันก็จะเป็นแบบนั้นน่ะ แล้วมันก็เป็นอนิจจัง มันก็เวียนว่ายตายเกิด มันก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สิ่งที่เป็นอนิจจังน่ะ เดี๋ยวก็รื่นเริง เดี๋ยวก็อาจหาญ เดี๋ยวก็เหงา เดี๋ยวก็เศร้าสร้อย เดี๋ยวก็หงอยเหงา มันก็เปลี่ยนแปลงของมันอยู่อย่างนั้น มันอยู่ที่แรงกระตุ้น แรงกระตุ้นและจังหวะและโอกาสที่มันรื่นเริงในหัวใจนั้น เห็นไหม นี่เรื่องโลก
ฉะนั้นเราจะไม่ติดโลก ถ้าเราไม่ติดโลกเห็นไหม เราอยู่กับโลกนะ เราเกิดมามีพ่อมีแม่นะ พระองค์ไหนก็แล้วแต่ไม่รู้จักบุญคุณของพ่อของแม่ นั่นแสดงว่าเป็นคนไม่ได้ คนที่จะเป็นคนได้มันต้องรู้จักบุญคุณของคน ถ้ารู้จักบุญคุณ พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา เราจะไม่ระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่เราเลยเหรอ เรามาบวชเป็นพระ มาบวชแล้วเรามีอุปัชฌาย์อาจารย์ เรามีอุปัชฌาย์อาจารย์เห็นไหม พ่อแม่ครูจารย์ๆ เพราะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ ทั้งครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม เราก็ซาบซึ้ง แต่เราก็ยังมีพ่อมีแม่ของเราอยู่วันยังค่ำ เพราะเราเกิดกับโลก เห็นไหม เราเกิดอยู่กับโลก
เวลาลูกมาบวชแล้วพ่อแม่ระลึกถึงก็ระลึกถึงพระ พระลูกชายๆ ถ้าระลึกถึงพระลูกชายนั้นนี่ใกล้ศาสนา สิ่งที่สัมพันธ์กัน สัมพันธ์กันทางความรู้สึกเห็นไหม เราก็มีพ่อมีแม่ เราก็เกิดมากับโลก เราก็มีกตัญญูกตเวที เราจะไม่มีเวล่ำเวลาที่เราจะไปอุปัฏฐากอุปถัมภ์เพราะอะไร เพราะว่าพ่อแม่คนหนึ่งก็มีลูกหลายคนใช่ไหม ถ้าลูกหลายคน ลูกที่เขาสมควรดูแลเขาก็ดูแลกันไป เห็นไหม เราเป็นพระๆ นี่ เราจะไปทำแบบฆราวาสมันก็แบบว่าโลกวัชชะ โลกเขาจะติเตียนได้ แต่ความผูกพันของหัวใจมันตัดทิ้งไม่ได้หรอก ความผูกพันสายบุญสายกรรมมันละไม่ได้หรอก ความระลึกถึงกัน มันระลึกถึงกันไม่แต่ภพชาตินี้นะ มันระลึกถึงกันข้ามภพข้ามชาติโน่นแน่ะ เคยเป็นพ่อเป็นลูกเป็นแต่อดีตชาติโน่นแน่ะ มันข้ามภพข้ามชาติกันมา สายบุญสายกรรมมันมีของมันอย่างนั้น
นี่พูดถึงว่าเราก็มาจากโลก ไม่ใช่ว่าเราไม่ติดโลก เราไม่สนใจโลก เราตัดโลกทิ้งไปเลย เราไม่รู้ มันไม่ใช่ เราไม่ติดโลกโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากน่ะมันอยากใหญ่อยากโต อยากออเซาะฉอเลาะกับเขานั่นแหละ นั่นติดโลก แต่เราอยู่กับโลกแต่เราไม่ติดโลก เราอยู่กับโลกนะ เราเกิดมาเรามีพ่อมีแม่เห็นไหม เราก็มีพ่อมีแม่มาทุกๆ คนน่ะ ที่เกิดมาเป็นคนไม่มีพ่อมีแม่เหรอ ก็มีพ่อมีแม่มาทั้งนั้น เห็นไหม ด้วยอำนาจวาสนา เรามาบวชมาเรียน แล้วพ่อแม่เขาระลึกถึงเป็นเรื่องธรรมดา พ่อแม่เขาอยากให้ใกล้ชิดทั้งนั้น ด้วยกิเลสของคนน่ะ กิเลสของคนก็อยากให้คนล้อมหน้าล้อมหลัง อยากให้คนอยู่ใกล้ชิดทั้งนั้น อยากจะออเซาะฉอเลาะกันไปนี่เรื่องโลกทั้งนั้น เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาจะให้ไปบวชจริงๆ จังๆ ขึ้นมา จะพลัดพรากจากกัน มันก็อาลัยอาวรณ์เป็นเรื่องธรรมดา
เรื่องอาลัยอาวรณ์เรื่องธรรมดานะ ในเมื่อเราได้พลัดพรากกันมาแล้ว เราได้พลัดพรากด้วยวัตถุเห็นไหม แต่หัวใจเรายังไม่พลัดพรากเพราะเรายังเห็นกันอยู่ ถ้าเราพลัดพรากมาจากวัตถุ พลัดพรากจากความเป็นอยู่ของฆราวาส เรามาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระแล้วนี่เห็นไหม เราระลึกถึงกันอยู่ ถ้าระลึกถึงกันอยู่เห็นไหม เรายังมีความกตัญญูกตเวที เราระลึกได้ ระลึกได้เห็นไหม นี่คน คนมันต้องรู้จักบุญคุณของคนสิ ถ้าคนไม่รู้จักบุญคุณของคนเห็นไหม เราเกิดจากโลก ไม่ใช่ว่า อู๊ย เราตัดโลก เราไม่มีโลก เราไม่เข้าใจกับโลก ไม่ใช่ อยู่ใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยกัน แต่เราต้องมีสติปัญญาสิ
เรามีสติปัญญาเห็นไหม เราเกิดมาจากโลก แล้วเราวางโลกนี้ไว้ เราวางจากความเป็นคฤหัสถ์มาบวชเป็นพระ พระ พระคือไม่ดำรงชีพแบบฆราวาสเขา ฆราวาสดำรงชีพยังไงนั่นเป็นเรื่องของฆราวาส เรามีสมณสารูป สมณสารูปขึ้นมาเห็นไหม เรามีศีล ถ้าเรามีศีลขึ้นมา เราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม เราอยู่กับโลกทั้งนั้น เราเกิดจากโลกทั้งนั้น
เวลาโลกเขา เขาก็กินอยู่หลับนอนเหมือนกัน เขาใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน มาบวชเป็นพระก็กินอยู่หลับนอนเหมือนกัน แต่กินอยู่หลับนอนแบบสมณะ กินอยู่หลับนอนแบบนักรบ กินอยู่หลับนอนแบบจะสู้กับกิเลส เห็นไหม เราอยู่กับโลกแต่เราไม่ติดโลก เราไม่ติดโลก เราอยู่กับโลกเห็นไหม เราเป็นสมณะ สมณะเราไม่ดำรงชีพแบบฆราวาสเขา การดำรงชีพแบบฆราวาสไม่ใช่พระ ถ้าพระน่ะดำรงชีพแบบฆราวาสไม่ได้ ถ้าการดำรงชีพแบบฆราวาสไม่ได้ เราดำรงชีพแบบสมณะ ถ้าดำรงชีพแบบสมณะเราจะไม่ติดโลก เราไม่ติดโลก
วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสำคัญทางพุทธศาสนาเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว เวลาแสดงธรรมจักรๆ เห็นไหม ได้สาวกอัครสาวกมาต่อเนื่องมา ถึงเวลาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ วันมาฆบูชาจะเป็นวันที่เอหิภิกขุ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอนเสียเอง แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาเฝ้าองค์สมเด็จสัมมาพระสัมพุทธเจ้า เป็นการปฏิญาณว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นความจริง แล้วเวลาแสดงธรรมขึ้นมาแล้วนี่ถ้าผู้ที่มีอำนาจวาสนาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้ว มันจะมีคุณธรรมจริงในหัวใจอันนั้น
ถ้ามีคุณธรรมจริงในใจอันนั้นเห็นไหม นี่ดูสิ ที่ระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้นัดหมาย หัวใจที่มันเป็นธรรม หัวใจที่มันระลึกถึงน่ะ หัวใจที่เห็นคุณประโยชน์ หัวใจที่มันซาบซึ้งน่ะ นี่ไง นี่น้ำใจของพระอรหันต์ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมานั่นเวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์
แต่ของเรานี่เราเป็นปุถุชน ไม่ต้องไปแอคชั่นหรอก ปุถุชนเท่านั้น ปุถุชนก็ยังกินอยู่หลับนอนเหมือนกัน ยังขี้เหม็นๆ ทั้งนั้น เวลาขี้เหม็นๆ ขึ้นมาเราพิจารณาขี้สิ เวลาขี้โลภขี้โกรธขี้หลงในหัวใจมันเลวร้ายกว่านั้น เวลาขี้น่ะเขาเอาไปใส่ปุ๋ยนะ เขาเอาไปทำประโยชน์ได้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่มันถ่ายในหัวใจนี่ อันนี้มันร้ายกาจเพราะ เพราะมันทำลายเราก่อน มันทำลายเราให้เราทุกข์เรายากนะ มันทำลายนะ เวลามันเผาลนในหัวใจมันแทบกระอักนะ แล้วมันเผาลนหัวใจแล้วถ้าใครมีสติปัญญายับยั้งไว้ได้ มันก็ดับไฟในใจของตน แต่มันเผาหัวใจของตนไปแล้ว แล้วยับยั้งไว้ไม่ได้ มันจะลุกลามไปเผาทำลายคนอื่นนะ ไอ้ขี้นี่ไอ้ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงมันทำลาย แล้วมันทำลายแล้วมันเกิดเวรเกิดกรรมน่ะ เวลาเกิดเวรเกิดกรรมเห็นไหม ผลมันข้ามวัฏฏะนะ นี่ข้ามภพข้ามชาติ
ดูเทวทัตสิ เทวทัตตั้งแต่กำทรายนั่นน่ะ อธิษฐานเลยว่าจะจองล้างทุกภพทุกชาติ จนมาถึงชาติสุดท้ายนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเทวทัตมาเกิดเป็นญาติด้วยกันก็ยังทำลายกันมาตลอด ข้ามภพข้ามชาตินะ ถ้ามันเผาลนหัวใจของตน แล้วไม่มีสติปัญญายับยั้งมัน เวลามันทำร้ายมันทำร้ายอย่างนั้นน่ะ ดูมันทำร้ายสิ มันทำลายข้ามภพข้ามชาติ ทำลายกันตลอดไป นั่นน่ะผลของเวรของกรรม ผลของเวรของกรรมเห็นไหม
ถ้ามันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา มันต้องเป็นความสำคัญให้เกิดประโยชน์กับเรา เราอยู่กับโลก อย่าไปติดมันโลก อยู่กับโลก ถ้ามีสติปัญญานะมันเศร้าใจ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ครูบาอาจารย์เราร่วงเป็นใบไม้ร่วงเลย เห็นไหม ดูสิ ชีวิตแต่ละปีแต่ละพรรษามันเนิ่นนาน เวลาทุกข์มันเผาลนหัวใจ แล้วพออยู่ไปพรรษามันมากขึ้นๆ พอมากขึ้นๆ ไปเห็นไหม จำเจๆ กันไป พอจำเจทุกข์น่ะมันก็อมทุกข์อยู่อย่างนั้นน่ะ
แต่ถ้ามันทำจริงทำจังขึ้นมาในหัวใจเห็นไหม วันเวลามันล่วงเลยไปเร็วมาก เวลาภาวนาขึ้นมาน่ะ วันคืนๆ อยากให้เวลามันยาวกว่านี้นะ เราก็ยังสู้รบกับกิเลสอยู่น่ะ อยากให้มันได้เสียน่ะ พอได้เสียแล้วจะให้มันจบมันสิ้นกันไป ถ้ามันจบสิ้นกันไปเห็นไหม แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญา มันจบสิ้นไปแล้วมันมีความสุข มันมีความเข้าใจเห็นไหม แล้วเห็นใบไม้ร่วงไปน่ะ ครูบาอาจารย์ร่วงไปแต่ละองค์ๆ น่ะ ครูบาอาจารย์ร่วงไปว่าเหมือนใบไม้ร่วงเลย แล้วมันไม่แตกต่างกับชีวิตเราเลยนะ
แต่เวลาชีวิตคนอื่นเห็นหมดนะ แต่ชีวิตเรา โอ้โหย อีกยืนยาว ชีวิตเรามั่นคง ชีวิตเราน่ะ แหม ยังอีกเนิ่นนาน ดูกิเลสมันปิดหูปิดตาสิ เวลากิเลสมันปิดหูปิดตานะ เราธุดงค์ไปไหนก็แล้วแต่ สมัยครูบาอาจารย์เรานะวัดร้างมหาศาลเลย ที่ไหนก็มีแต่วัดร้างๆ พระเณรนี่ไม่มีนะ ทางอีสานทางภาคเหนือนี่เขาต้องเอาเงินจ้างพระให้อยู่วัดนะ เพราะหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านอยากมีวัด อยากมีพระไว้ใส่บาตร เขาจ่ายเงินเดือนจ้างกันให้อยู่วัดนะ เวลาที่ศาสนามันเหงา มันเศร้ามันเหงามันหงอย เวลาธุดงค์ไป ไปเห็นน่ะ วัดร้างๆ ทั้งนั้นเลยน่ะ มีแต่วัดร้างไม่มีพระอยู่
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านวิเวกมายิ่งกว่านั้น เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านไปพระธาตุพนมหลวงปู่เสาร์เป็นคนไปพบเอง พระธาตุพนมนี่พัฒนาแล้วยกให้เขาไป ที่ไหนก็แล้วแต่เราไปเจออยู่ในป่าในเขาเราพัฒนาขึ้นมา แล้วเวลาเดี๋ยวนี้น่ะเห็นไหม โลกมันเจริญ เพราะประชาชนมันมากขึ้น คนมันมากขึ้น การเกษตรกรรมมันมากขึ้น เขาทำมาหากินมากขึ้น มันกระจายไปทั่ว กระจายไปทั่วเห็นไหม แล้วมีการพัฒนาขึ้นมา มันก็มีที่อยู่ที่อาศัย นี่จะบอกว่า วัดแต่ละวัดมันมีผู้อยู่ผู้อาศัยมาก่อนแล้ว แล้วก็มาถึงรุ่นของเรา แล้วต่อไปก็จะรุ่นต่อไปๆ ไง
มันต้องมีพลัดพรากทั้งนั้น มันไม่มีใครมายึดว่าเป็นของตนๆ มันไม่มี เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็พลัดพรากจากเราอยู่แล้ว สักวันหนึ่งน่ะมันต้องหมดอายุขัยกันไป แต่ก่อนที่มีชีวิตอยู่นี่ เราจะทำจริงทำจังของเราเห็นไหม ถ้าเราไม่ติดโลก ถ้าเราไม่ติดโลกเห็นไหม เราก็จะย้อนกลับมาในใจของเรา
แต่ถ้าเราติดโลก เราก็ไปตื่นเต้นกับเขา คำว่าติดโลกคือไปเห็นโลกแล้วมันตื่นตาตื่นใจ ตื่นตาตื่นใจ เห็นแล้วมันอลังการ แล้วก็ว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า วัตถุอย่างนั้นเหรอมีคุณค่า รูปรสกลิ่นเสียงอย่างนั้นน่ะเหรอ ดูสิ มหรสพสมโภชน่ะ เขาจัดให้มันรื่นเริงขนาดไหนก็ได้ ดูสิ เวลาคอนเสิร์ตมาจากต่างประเทศ โอ้โห แสงนี่อลังการมากเลย แล้วเขาจะคิดให้ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นอีก นี่ไง รูปรสกลิ่นเสียงมันอลังการตรงไหน จะไปตื่นเต้นอะไรกับมัน อย่าไปตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาจัดฉาก เขาสร้างสม แต่ แต่อย่างวันนี้น่ะวันสำคัญทางพุทธศาสนา ถ้าโลกเขาจัดแล้วมันประณีต มันดูแล้วสวยงาม ดูแล้วสิ่งที่มันเจริญหูเจริญตา มันเป็นประกาศทางพุทธศาสนา เราก็สาธุนะ เราบอกว่านั้นเป็นเรื่องของโลกๆ ไง
แต่เราเป็นพระกรรมฐาน เราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราต้องดูความสั่นไหวของหัวใจ ดูสิ มันเห็นรูปรสกลิ่นเสียงอย่างนั้นแล้วมันไหวไปกับเขาไหม ถ้ามันเห็นอย่างนั้นนะ สาธุ ถ้าเขาทำด้วยความถูกต้องชอบธรรมเป็นสัมมาทิฐิ สิ่งที่ได้มาได้มาด้วยความชอบธรรม ไม่ใช่การได้มาด้วยการทุจริต ไม่ใช่การได้มาด้วยการปอกลอก ไม่ใช่ด้วยการฉ้อฉล การหลอกลวงกันมาเพื่อสร้างความอลังการ เพื่อเอาผลงาน อย่างนั้นไม่ถูกต้อง
สิ่งที่มันถูกต้อง เวลามันถูกต้องชอบธรรมแล้วเราก็เห็นดีเห็นงามไปกับเขา ถ้าสิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง แต่ แต่มันก็เป็นเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงนะ มันเป็นเรื่องแสงสีเสียง คำว่าแสงสีเสียงน่ะ มันเอาไปใช้กับอะไร ถ้าเอาไปใช้กับในพิธีกรรมในพุทธศาสนาก็เรื่องหนึ่ง เอาไปใช้กับมหรสพสมโภช เห็นไหม นักเลงการพนัน ที่ไหนมีการพนันไปที่นั่น นักเลงเที่ยวกลางคืน นักเลง นักเลงทั้งนั้นน่ะ ในนวโกวาท ภิกษุเราไม่ควรทำ ชาวพุทธยังไม่ทำเลย แต่ในเมื่อทางโลกเขามันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เขาทำกันเพื่อความอลังการ ความรื่นเริง อันนั้นนี้ก็เรื่องของโลกเขา
แต่ถ้าเราเป็นนักรบ เราไม่ติดในโลก ถ้าไม่ติดในโลกน่ะ วันสำคัญทางพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม วันสำคัญทางพุทธศาสนาน่ะถือเนสัชชิก ไม่นอนทั้งคืน เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เราตั้งสติไว้ เวลาปฏิบัติบูชาเห็นไหม ปฏิบัติบูชา สิ่งใดบริษัทสี่ไม่เห็นมีการเกื้อกูลเลย เราขาดแคลนอย่างนั้นขาดแคลนอย่างนี้ มันจะขาดแคลนอะไร มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกมีชีวิตอยู่มันขาดแคลนตรงไหน มันไม่มีอะไรขาดแคลนเลย มีแต่เรานี่เห็นไหมจะถือธุดงควัตร เครื่องขัดเกลากิเลส เราจะมักน้อยสันโดษ เราจะทำให้มันมักน้อยกว่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระรุงรัง
สิ่งที่มีความจำเป็นนะ วัดที่เจริญแล้ว วัดที่มีคนรู้จักแล้ว มันมีประชาชนมา อันนั้นก็ให้มันสมควรกับความเป็นอยู่นั้น แต่ที่มันไม่เป็นภาระขึ้นมา เราไม่ต้องไปเตรียมการมา เราไม่ต้องไปแสวงหามาให้เป็นภาระ สิ่งที่เป็นภาระนี่ภาระรุงรังทั้งนั้น สิ่งที่ธุดงควัตรๆ เห็นไหม เครื่องขัดเกลากิเลส เขาไม่ต้องให้เป็นภาระรุงรัง ไม่เป็นภาระรุงรังแล้ว เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วย้อนกลับมาที่หัวใจนี้ ถ้าพูดถึงหัวใจนี้เห็นไหม เราระลึกถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ นี่มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความสุข วิมุตติสุข เขามีความสุขแล้ว สุขแท้ๆ ในพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม
สัจธรรมนี่เราก็มีความปรารถนาอย่างนั้น ถ้าเรามีความปรารถนาอย่างนั้น ดูทางโลกเขา ทางโลกเขามรรคผลไม่มีแล้ว ทุกอย่างไม่มีแล้ว แล้วเรามาปรารถนาสิ่งที่ทางโลกเขาไม่มีนั้นน่ะ เราไม่ใช่คนสูญเปล่าเหรอ ไอ้นั่นเป็นความคิดทางโลกเขา แต่เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เรามีสติปัญญาของเราเห็นไหม เราจะทำความจริงความจังของเรา มันไม่มีกาลไม่มีเวลา อกาลิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมานี่ วันสำคัญทางพุทธศาสนา เราจะเดินจงกรม เราจะนั่งสมาธิภาวนานี่ อวดโลกเขา ถ้าอวดโลกเขาเห็นไหม มาดูสิ มาดูร่องรอยที่ฉันทำ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านชื่นชมอาจารย์สิงห์ทองเห็นไหม เดินจงกรมจนทางเป็นร่องๆ น่ะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราน่ะ ท่านชื่นชมๆ หลวงปู่จวน อาจารย์สิงห์ทองน่ะ ท่านชื่นชมเรื่องความเพียรทั้งนั้นน่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านชื่นชมลูกศิษย์ลูกหานี่ ท่านชื่นชมเรื่องความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถึงจะทำแล้วแล้วสติปัญญายังไม่สมบูรณ์น่ะ มันก็ออกทางโลกๆ นั่นแหละ เพราะอะไร มันต้องหดเข้ามา หุบร่มเข้ามา หุบหัวใจเข้ามา หุบความรู้สึกของเราเข้ามาเข้าสู่ใจของตน ถ้าใครทำเข้าสู่ใจของตนได้ เห็นไหม เป็นนักรบ ครูบาอาจารย์ของเราที่ชื่นชมชื่นชมอย่างนั้น ชื่นชมลูกศิษย์ลูกหาที่เร่งความเพียร ที่ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายังมีโอกาสเข้าไปถึงเห็นพุทธะในหัวใจของเขา ถ้าเขาเข้าไปเห็นพุทธะในใจของเขา สิ่งที่เป็นพุทธะในใจของเขานี่มันมีคุณค่า
พอมีคุณค่าขึ้นมาแล้ว ปัจจัยสี่ ปัจจัยเครื่องอาศัย อาวาส อาราม ที่อยู่ของผู้ทรงศีล นั้นเราเป็นผู้รักษา เป็นผู้ที่อยู่อาศัย ของของสงฆ์ๆ เราก็จะดูแลรักษา ดูแลรักษาด้วยธรรมด้วยวินัยเห็นไหม ไม่ตื่นเต้น ไม่เห็นสิ่งใดมีคุณค่าไปกว่าใจที่ประพฤติปฏิบัติแล้วได้ผลตามความเป็นจริง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตมันปล่อยวางเข้ามา เราจะเห็นคุณค่าของหัวใจของเรา ถ้าเห็นคุณค่าของหัวใจของเราเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมในใจอันนั้น แล้วพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เขาก็มีคุณธรรมในหัวใจอันนั้น แล้วถ้ามีคุณธรรมในใจอันนั้น คุณธรรมอันนั้นมันชื่นบานในหัวใจ มันแจ่มแจ้งกลางหัวใจ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฐิโก มันรื่นเริงอันนั้น
นี่พูดถึงว่าถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนามันต้องมีคุณธรรมจริง มันมีรัตนตรัยจริงในหัวใจ ถ้ามีรัตนตรัยจริงในหัวใจนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านไปที่ดอยธรรมเจดีย์เห็นไหม พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงเป็นหนึ่งในหัวใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะๆ นี่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในหัวใจ หัวใจของเราเห็นไหม เวลามันเป็นจริงๆ เป็นจริงขึ้นมาน่ะ มันเป็นจริงกลางหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงกลางหัวใจของเรา วันสำคัญทางพุทธศาสนามันก็เป็นวันสำคัญในใจของเรา ถ้ามันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา หัวใจของเรามันก็เป็นธรรมๆ ถ้ามันเป็นธรรมมันเป็นธรรมอย่างนี้ ถ้ามันไม่ติดโลก
ถ้าติดโลกมันส่งออกไปโลกๆ ทั้งนั้น อยู่กับโลก ถ้าอยู่กับโลกเป็นเรื่องของโลก เราเกิดกับโลก เราเกิดกับโลกนะ ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์มันอยู่ในใจเราไง เห็นไหม เราไม่ได้ปฏิเสธ คนจะเป็นคนดีคนชั่วน่ะเขาก็ดูเจตนานี่แหละ ดูจริตนิสัย จริตนิสัยที่มันเป็นจริงๆ เห็นไหม คนมีบุญมีคุณมาตลอด คนที่มีบุญมีคุณตลอดนี่เห็นไหม เวลาใส่บาตรๆ ก็ใส่บาตรทุกวันๆ น่ะ เขามีคุณกับเราหรือไม่
นี่ดูสิ ดูเวลาพระสารีบุตรเห็นไหม ทุคตะเข็ญใจจะมาบวชน่ะ ไปหาใครก็ไม่มีใครบวชให้สักคน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ ทุคตะเข็ญใจนี้มีบุญคุณกับใคร พระสารีบุตรยกมือเลยน่ะ เคยมีบุญคุณกับข้าพเจ้าครับ เขามีบุญคุณอะไรกับตน เขาเคยตักบาตรข้าพเจ้าหนึ่งทัพพีครับ คนทุกข์คนจนมันจะมีอะไร ถ้าเขามีข้าวใส่บาตรด้วยความกระเสือกกระสน ด้วยความมุมานะของเขาขนาดนั้นแล้ว เขามาใส่บาตรเห็นไหม พระสารีบุตรยังจำได้ พระสารีบุตรจำได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรบวชให้ พอบวชให้แล้วพระสารีบุตรเป็นผู้สั่งสอนเอง เวลาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า สารีบุตร สัทธิวิหาริกของเธอสอนง่ายเหรอ
สอนง่ายครับ สอนง่ายครับ เพราะเขาเอาจริงเอาจัง เขาเอาจริงของเขา เขาทำจริงๆ จังๆ ของเขา สุดท้ายแล้วเขาก็สิ้นกิเลสไปได้เหมือนกัน นี่ถ้ามันเป็นบุญมีคุณเห็นไหม แม้แต่ข้าวทัพพีเดียวยังระลึกถึงคุณของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เรามาบวชเป็นพระ แม้แต่ทางโลกเห็นไหม สิ่งที่เราเกิดมา เราก็ระลึกถึงคุณของเขาทั้งนั้นน่ะ นึกถึงคุณของเขา แต่ แต่สัตว์โลกจะต้องดิ้นรนกันไป สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด ไอ้เราเป็นทุกข์อยู่นี่ไง จงเป็นสุขๆ เถิด กูบวชเป็นพระแล้วทุกข์ฉิบหายเลย กูบวชเป็นพระแล้วใจกูไม่สุขสักที จงเป็นสุขๆ เถิด ด้วยอำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาคือว่าเพศของนักรบนี่ เพศของพระนี่ บางคนกว่าจะได้มานะ สละชีวิตนะ
นี่ดูสิ พระรัฐบาลเห็นไหม พ่อแม่ร่ำรวยมาก มีลูกคนเดียวไม่ให้บวช เพศของการเป็นพระนี่ ในพระไตรปิฎกมากนักเลย ที่ว่ากว่าจะบวชได้เอาชีวิตเข้าแลกมาทั้งนั้น กว่าจะได้เพศของสมณะ ความได้เพศของสมณะแล้วนี่เราจะเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลสในใจของเรา มันมีวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามันมีวาสนามันเห็นนะ เห็นนี่เป็นทรัพย์ เห็นความเป็นพระนี่เป็นทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ แล้วนี่ๆ ทรัพย์อย่างนี้เห็นไหม ใจของเรายังไม่ได้บวช ใจของเรายังไม่เป็นธรรมนี่เห็นไหม มันเป็นปุถุชน ทั้งๆ ที่ได้เพศของสมณะมานี่เป็นนักรบแล้ว ได้เพศของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง แล้วถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมน่ะ ท่านจะให้โอกาสเราประพฤติปฏิบัตินะ โอกาสประพฤติปฏิบัตินี่แสนยากเพราะ เพราะไปอยู่ที่วัดใดก็แล้วแต่ ถ้าหัวหน้าอยากมีชื่อเสียงอยากได้เกียรติศัพท์เกียรติคุณ เขาเอาเราไปเป็นเครื่องมือทั้งนั้น เอาไปก่อสร้าง เอาไปแสวงหาผลประโยชน์ เอาไปเพื่อไปอวดชาวบ้านว่าฉันมีลูกศิษย์ลูกหามาก เราก็ต้องตะลอนๆ ไปกับเขา
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านไล่เข้าป่าๆ ทางจงกรมนั่นน่ะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เพราะอะไร เพราะพระกว่าจะบวชจะฝึกหัดเป็นพระสักองค์หนึ่ง ถ้าฝึกหัดให้พระสักองค์หนึ่งเห็นไหม เวลาจะบวชพระๆ นี่ สิ่งที่เป็นเพศสมณะนี่ได้มาแสนยาก เวลาพ่อแม่อนุญาตแล้วน่ะ เวลาไปบวชพระต้องมีอุปัชฌาย์อาจารย์ เวลาบวชมาแล้วเป็นสมมติสงฆ์ มีคุณค่าเท่ากันในพุทธศาสนา เพราะบวชเป็นพระแล้วน่ะทำสามีจิกรรมต่างๆ ได้ร่วมอุโบสถ ร่วมกันได้ๆ เวลาจะเอาจริงเอาจัง ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา มันต้องจริงต้องจังกับหัวใจของเราเองไง เวลาเราจะบวชหัวใจขึ้นมาเราบวชด้วยมรรคด้วยผล ด้วยมรรคด้วยผลขึ้นมาด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
ศีล ศีลมันอยู่ที่ไหน ศีลมันอยู่ในหนังสือ ศีลมันอยู่ในตำรา ไอ้ของเราจะทำยังไงก็ได้ ทำตามใจของฉัน ถ้ามันเป็นศีลๆ ศีลคือความปรกติของใจ ถ้าใจมันปรกติขึ้นมาอยู่ที่ไหนก็มีความสุขเห็นไหม เป็นพระก็เป็นพระจริงๆ บวชแล้วก็เป็นพระ เป็นพระร้อยเปอร์เซ็นต์ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา พระทำไมมันชื่อแต่พระ ทำไมหัวใจมันไม่เป็นพระ หัวใจมันไม่สงบระงับสักที ทำไมมันมีแต่ความทุกข์ความยากขนาดนั้น ความทุกข์ความยากก็มันติดโลกไง
โลกน่ะ เวลาเขาจะจัดงานรื่นเริง เขาจัดด้วยศักยภาพของเขา แล้วทางโลกนะ คนที่มีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา เขาจะจัดบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เถรวาทๆ น่ะ ในวันพุทธศาสนาเขาประดับธงเห็นไหม แสงสีเสียงด้วยความอลังการ เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดพลุ จุดแสง แสงสีเสียง จุดตะไล เขาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขาจุดโคมลอยๆ เห็นไหม โคมลอยบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาทำได้เท่านั้นไง โลกเขาบูชาได้อย่างนั้น
แต่ของเราๆ มีสติมีปัญญาไง เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสัมมาสมาธิไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับหัวใจ ลูบหน้าลูบหลังกันน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป่ากระหม่อมเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ ท่านดูแลหัวใจของเรา ไอ้ที่สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาวิมุตติสุขสุขในหัวใจ ความสุขอย่างนั้น หลวงปู่มั่นเวลาท่านบรรลุธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมาอนุโมทนา อนุโมทนาไอ้ใจดวงนั้น ไอ้ใจดวงที่เสวยวิมุตติสุข
แล้วหัวใจของเรา ถ้าเราเป็นจริงๆ น่ะ เราก็พยายามของเรานี่ไง ถ้ามันวันสำคัญทางพุทธศาสนา หัวใจของเราต้องสำคัญ ถ้าหัวใจเราสำคัญ เรามีสติ พอมีสติขึ้นมาเราคัดแยกได้ ผิดชอบชั่วดี พระเรานี่สำคัญว่า ผิด ชอบ ชั่ว ดี ผิดกับชอบนี่ ชั่วกับดีนี่ ดีมันดีที่ไหน เห็นไหม เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านชื่นชม ชื่นชมผู้ที่ปฏิบัติ ชื่นชมคนที่คัดแยก ผิดชอบชั่วดี ถ้าหัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมาเห็นไหม ผิดชอบชั่วดี เขานอนกันที่นอนนุ่มๆ เขานอนกันน่ะที่อากาศถ่ายเท ไอ้เราเดินจงกรมกันเกือบตาย ไอ้ที่จะนอนเหรอก็โคนไม้ โอ้ มันจะมีความสุขตรงไหนวะ เขาอยู่กันมีแต่ความสุข โอ้โห ที่นอนของเขานะ โอ้โห น่ารื่นเริง ไอ้เราไม่มีที่จะมุดหัว
แต่ถ้าใจมันสงบนะ ใจมันรื่นเริงขึ้นมานะ ฟุบตรงไหนก็นอนตรงนั้นได้ เอาใบไม้มาปู นั่งสมาธิที่นั่น มีความสุขที่นั่น ในความเป็นจริงความเป็นจริงมันอยู่ที่นั่นไง ถ้าความเป็นจริงมันอยู่ที่นั่น ถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ โอ้โห มันจะเห็นนะ ไม่ติดโลกๆ สาธุ เราอยู่กับโลกนะ เราเกิดมากับโลกนะ โลกเขารื่นเริง โลกเขาทำเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็สาธุ แต่เราไม่ทำอย่างนั้น เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะปฏิบัติบูชาให้หัวใจเรารื่นเริง ถ้าจิตใจเรารื่นเริงนะ นี่ๆ เราจะเป็นพระในพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นพระสงฆ์จริงหรือเปล่า
ผู้ใดเห็นสมณะเป็นมงคลชีวิตๆ เวลาเขาเห็นสมณะๆ ขอความช่วยเหลือ โน่นก็ยังขาดแคลน นี่ก็ยังขาดแคลน เขาไม่เป็นสมณะของเขาหรอก ไม่เป็นความสุขของเขา แต่ถ้าเราเป็นสมณะ การเห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต เขาเห็นสมณะแล้วเขารื่นเริงในหัวใจของเขา ในหัวใจของเขาน่ะเบิกบาน ในหัวใจของเขามันมีวาสนา ถ้าติดโลกๆ เห็นไหม ถ้าในหัวใจของเขามันเบิกบานนะ เวลานั่งนี่ทำแสงออกจากตัวเลยฉัพพรรณรังสี จะให้เขาเบิกบานไง จะล้วงกระเป๋าเขา ไร้สาระ
นี่ไง ถ้าเราไม่ติดโลกซะอย่างนึง เราไม่ติดโลกเห็นไหม เวลาธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาได้ยสะแล้วเห็นไหม สงฆ์ทั้งเธอทั้งเรา ๖๑ องค์ ไม่ติดบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลกเห็นไหม โลกธรรม ๘ บ่วงที่เป็นทิพย์น่ะ ทิพย์สมบัติต่างๆ น่ะไม่ติดทั้งนั้นน่ะ ที่บอกว่าไม่ติดไม่ติดเพราะอะไร ไม่ติดเพราะได้ทิ้งมันมาแล้ว ไม่ติดเพราะเรามีสติมีปัญญาเห็นไหม เราได้หักธงธรรมในหัวใจ หักสิ่งที่มันอหังการในใจ เราได้หักได้ทำลายความอหังการในใจหมดสิ้นแล้ว มันจะไปติดอะไร ภวาสวะทำลายภพแล้วน่ะมันจะติดอะไร มันไม่มีอะไรให้ติดอยู่แล้ว ถ้ามันไม่มีอะไรให้ติดอยู่แล้ว นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้ ถ้าเราไม่ติดโลกนะ เราจะได้ธรรม
ถ้าเราติดโลก ภาษาเราน่ะ เราเกิดกับโลกไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วเรามาบวชเป็นพระ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย นี่เป็นสมณะ นี่ผู้ใดเห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต แล้วเรายังไปติดกับโลกเขา เห็นแสงสีเสียงก็ไปตื่นเต้นกับเขา เห็นสิ่งใดก็ไปข้องแวะกับเขา มันไร้สาระ มันไร้สาระมาก เขาจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของเขา แต่เรานะ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกา พระมันต้องร่วมมือกันทั้งนั้น เราก็ร่วมมือไปกับเขา แต่เราเป็นผู้นำน่ะ เราก็ต้องมีสติปัญญาสิ มีสติปัญญาเป็นผู้ชักนำเขา ไม่ใช่ให้เขาชักนำเรา ไม่ใช่ไปก้มหัวให้เขา เจริญพรๆ น่ะ ก้มหัวให้เขาตลอด ให้เขาจูงจมูกอยู่อย่างนั้นเหรอ เราไม่ใช่เป็นให้เขาจูงจมูก เราจะชักจูงเขา เราจะชักจูงเขาด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเป็นอยู่ของเรา
ความเป็นอยู่ของเรา ถ้าเราทำได้จริงเห็นไหม เขาแสวงหา พอเขาแสวงหานี่ เราขีดเส้นขอบขนาดไหน เขาต้องทำตามนั้น ถ้าเขาทำตามนั้น ให้เขาพัฒนาของเขาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แต่ของเราน่ะไม่มีวุฒิภาวะที่จะเป็นประกันในใจของเราเลย เราเองต่างหากไปเดินตามก้นเขา ให้เขาจูงจมูกต่างหาก แต่ถ้าเราเป็นจริงๆ ขึ้นมาเห็นไหม เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเรา แล้วเราเป็นคนชักจูงเขา ถ้า ถ้าเขาให้ชักจูง ถ้าเขาไม่ให้ชักจูงก็เรื่องกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์เพราะอะไร เพราะเราไม่ทำตัวเราให้เป็นที่น่าเชื่อถือ
ถ้าเราทำตัวของเราให้น่าเชื่อถือ มันน่าเชื่อถือที่ไหน มันน่าเชื่อถือที่ใจของเรา ถ้าใจของเราเป็นธรรมนะมันสังเวช ปลงธรรมสังเวช ชีวิตเราเป็นอย่างนี้เหรอ ธรรมวินัยเป็นแบบนี้เหรอ ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และวางไว้เป็นศาสดาของเรา เคารพธรรมและวินัยน่ะเท่ากับเคารพพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราท่านได้สร้างสมของท่านขึ้นมา นั่นน่ะ ธรรมวินัยน่ะ รื่นเริงและอาจหาญในใจของท่าน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่ใจดวงนั้น ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ มันรื่นเริงมันอาจหาญอย่างนั้น แล้วอะไรจะมีคุณค่าไปอีกล่ะ
ถ้าเราติดโลกเราจะไม่ได้อะไรเลย มันจะมีค่าเท่ากับดีเจน่ะ ดีเจที่มันคุมเครื่องเสียงมันจะมีค่าอะไร อาชีพดีเจเยอะแยะไป เขาคุมเครื่องเสียง เขากดแสงสีเสียง เขาได้ตังค์ ไอ้เราบวชเป็นพระ แล้วเราไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงอย่างนั้น ไร้สาระ แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมานะ เห็นไหม เราย้อนกลับมาที่ใจเรา ถ้าย้อนกลับมาที่ใจเราเห็นไหม นี่พระพุทธพระธรรมรวมลงอยู่ที่ใจของเรา มันเห็นแล้วมันสังเวช รูปรสกลิ่นเสียงนะ พลังงาน ไฟฟ้า เขาต้องมีเครื่องมีปัจจัยถึงจะแสวงหามาได้ สิ่งนั้นเขาต้องลงทุนลงแรงกว่าจะได้แสงสีเสียงมาโชว์กันน่ะ
ไอ้ของเราชีวิตก็เท่านี้ หายใจเข้าและหายใจออกนี่ หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย ออกไม่เข้าก็ตาย ชีวิตเราน่ะมันแขวนอยู่บนเส้นด้าย แล้วเราจะมาประมาทกับชีวิตเราเหรอ เราไม่ประมาทชีวิตเรานี่ เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันสำคัญทางพุทธศาสนา มันต้องมีความสำคัญ มีหนักมีเบา ไม่ใช่วัน ๒๔ ชั่วโมงก็ ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน วันทางโลกเขายังมีเสาร์อาทิตย์ วันของเราน่ะ วันสำคัญทางพุทธศาสนามันต้องจริงต้องจัง ต้องมีความสำคัญ ต้องมีความแตกต่าง ต้องมีน้ำหนักมากกว่าวันอื่น ต้องมีความมุมานะทำได้จริง ถ้าไม่มีอย่างนั้น เวลาเราปฏิบัติวันพระวันโกน ทำไมเนสัชชิก ทำไมมันมุมานะ เพราะธรรมดาเราก็มุมานะอยู่แล้ว ถ้าวันพระวันโกนเรายิ่งมุมานะมากขึ้น วันสำคัญทางพุทธศาสนายิ่งเต็มที่ โหมเต็มที่เลย
นี่ไง นี่ศากยบุตร พุทธชิโนรส บวชมาเพื่อพระพุทธเจ้า บวชมาเพื่อการประพฤติปฏิบัติ ให้มันเป็นจริงในใจขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงในใจแล้วไม่สำคัญ ถ้าใจมันเป็นจริงแล้วอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จะตายที่ไหนก็ตายได้ ถ้ามันจริงแล้วพร้อมที่จะตายเลย พร้อมทุกอย่างเลย ถ้ามันสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ถ้าไม่สมบูรณ์แบบแล้วนี่สิ เวลาครูบาอาจารย์นะ เวลาประพฤติปฏิบัติน่ะ ขอให้สิ้นสุดในภพชาตินี้ มีเท่าไรใส่กันเต็มที่ ขอให้มันจบกันที่ชาตินี้ ถ้ามันจะเป็นจะตาย ขอไว้ก่อน ยังเป็นห่วงชีวิตนี้ ยังไม่อยากตาย ยังไม่อยากตายเพราะมันยังไม่จบ ถ้ายังไม่จบยังไม่อยากตาย ถ้ามันจะตายก็ขอให้กิเลสมันจบก่อน ให้กิเลสมันตายก่อน ก่อนที่เราจะตายตามกิเลสมันไป
แต่นี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ผิดชอบชั่วดีก็ไม่รู้จัก ดีชั่วก็ไม่รู้จัก ติดแต่ในโลก บวชน่ะเป็นพระ ร่างกายน่ะเป็นพระ ความเป็นอยู่เหมือนพระ เห็นไหม เหมือนพระแต่ไม่ใช่พระ แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ น่ะ มันต้องเป็นพระจากภายใน เป็นพระศีลเสมอกัน ทุกอย่างเสมอกัน ไม่ติดโลก วันสำคัญทางพุทธศาสนามันต้องมีคุณธรรมในใจ มันต้องมีหลักมีเกณฑ์เพื่อหัวใจของเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม มันต้องมีหนักมีเบา ต้องมีเหตุมีผล ผิดชอบชั่วดีมันต้องระลึกได้ มันต้องทำคุณงามความดีเพื่อเราๆ
เวลาธรรมแล้วนี่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบมือตลอด ไม่มีกำมือในเรา ใครทำใครได้ แล้วใครประพฤติปฏิบัติก็เป็นของคนนั้น แสวงหาขนาดไหนก็เป็นของบุคคลคนนั้น ศึกษามาเป็นความจำแล้วก็มาอวดกันมาโม้กันน่ะไร้สาระ ทำจริงๆ สิ ให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ มันมีคุณค่าในตัวของมัน ถ้ามีคุณค่าในตัวของมันแล้วไม่ต้องคนอื่นบอก มันมีคุณค่าของมันเห็นไหม เวลาน้ำท่วม สิ่งใดก็แล้วแต่มันพัดไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นจริงในหัวใจ มีคุณธรรมในใจ อะไรมันจะไปต่อสู้กับมัน ถ้ามันเป็นจริงจากหัวใจ แสดงออกมามันต้องจริงทั้งนั้น
แต่ใจมันยังไม่จริง มันก็เหมือนหมาห่มหนังเสือนั่นน่ะ เวลาเอาหนังเสือมาห่ม เวลามันเห่ามันก็เสียงหมา ไม่มีเสียงเสือซักนิดเดียว แต่ถ้าเสือมันเป็นเสือนะ มันเห่าเมื่อไรมันหอนเมื่อไรก็เสียงเสือทั้งนั้น แต่หมาห่มหนังเสือนี่เห่าเมื่อไรก็เป็นหมา ทั้งๆ ที่เอาหนังเสือมาหุ้มไว้นั่นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจเป็นธรรมๆ มันต้องเป็นธรรมจริงๆ ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมาแล้วน่ะ สิ่งใดมันจะเข้ามารบกวนไม่มี มันจะเป็นความจริงของเราเห็นไหม ถ้าเป็นจริง
วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนานะ ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนาน่ะให้ระลึกได้ ไม่ติดในโลกเขา วัฏฏะไม่ติดมัน พยายามทำใจของเราให้เข้าสู่ธรรม ไม่ทิ้งธรรม ให้อยู่ในคุณธรรม ในธรรมและวินัย ชีวิตเราจะไม่เสีย จิตของเรามันจะมีคุณค่าถ้ามันปฏิบัติตามความเป็นจริง อย่าติดโลก แล้วพยายามติดธรรมไว้ ติดธรรมวินัยไว้ให้เป็นสมบัติของเรา เอวัง